ท่านผู้อ่านคงพอจะเดาได้ว่า เรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะเขียนต่อไปนี้ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาแน่ๆ ต้องขออนุญาตนำคำพูดของพิธีกรชื่อดัง คุณปัญญา นิรันดร์กุล มาตอบว่า “ถูกต้องแล้วครับ” กาลเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนแปลง เราลองมาดูกันว่ามีคำหรือความใดเปลี่ยนไปอย่างไร
คำว่า “ไม้ป่าเดียวกัน” เมื่อได้ยินคำนี้ผู้อ่านก็พอจะทราบได้ว่าเขาหมายถึงชายหรือหญิง ที่นิยมในเพศเดียวกัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วในสมัยก่อน ความหมายของคำว่า “ไม้ป่าเดียวกัน” นั้นแตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ในสมัยก่อนเรามีตลาดน้ำที่ชาวสวนจะนำเอาผลผลิตจากสวน อันได้แก่ผลไม้ต่างๆ ใส่เรือมาขาย จะเห็นเรือขายของเบียดเสียดกันเต็มคลองไปหมด และก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เวลาที่เรือกระทบกระทั่งกัน แดดก็ร้อน อารมณ์ก็เสีย เจ้าของเรือก็จะต่อว่าต่อขาน ด่าทอกันจนลั่นคลอง เพื่อนๆ แม่ค้าพ่อค้าลำใกล้เคียงต้องเข้ามาห้ามทัพ โดยบอกว่า “เอ้าๆ อย่าทะเลาะกัน ไม้ป่าเดียวกันแท้ๆ”การพูดเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าของเรือเขาชอบพอกัน แต่หมายถึง “ตัวเรือ” ต่างหาก เพราะเรือเหล่านั้นทำด้วยไม้ เป็นคำเปรียบเปรยว่าเรือลำไหนๆ ในคลองก็มาจาก ป่าไม้เหมือนๆ กันทั้งนั้นแล้วจะทะเลาะกันไปทำไม ในปัจจุบันถ้าพบใครทะเลาะกัน อย่าไปห้ามทัพด้วยประโยคนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวมีสะดุ้ง
คำว่า "ลงแขก" ที่เดี๋ยวนี้หมายถึงการรุมโทรมผู้หญิง เมื่อก่อนหมายถึงการที่ผู้คนทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันลงแรงทำงาน อาจจะไถนา หว่านข้าว ตกกล้า ดำนา เกี่ยวข้าว ฯลฯ เพราะว่าเมื่อก่อนไม่มีเครื่องจักร แล้วคนคนเดียวก็ทำงานทั้งหมดไม่ไหว ก็เลยต้องช่วยกัน โดยที่แต่ละบ้านก็จะมีเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวไม่ตรงกันบ้านนี้ไปช่วยบ้านนั้น พอบ้านนั้นปลูกเสร็จก็ไปช่วยบ้านโน้น ไม่ต้องเสียค่าจ้าง
คำว่า "เสี่ยว" ที่ปัจจุบันใช้ในความหมายว่า เชยหลุดโลก หลังเขา แต่เมื่อก่อนเมื่อคนสองคนที่เกิดเวลาตกฟากเดียวกัน (ซึ่งถือว่าเป็นวิญญาณดวงเดียวกันมาเกิดในสองร่าง) ได้มาเจอกันโดยบังเอิญ ไหนๆ ก็มาเจอกันแล้ว ไม่อยากพรากจากกันอีก ก็เลยมีประเพณี "ผูกเสี่ยว" เพื่อให้เป็นเสี่ยวกัน ซึ่งเสี่ยวในที่นี้หมายถึงคนที่สนิทและไว้ใจกันมากที่สุดในโลก ประหนึ่งว่าเป็นคนคนเดียวกัน และคู่เสี่ยวจะรักและให้เกียรติกันมากถึงขั้นยอมตายแทนกันได้ ว่ากันว่าเกิดมาครั้งหนึ่ง หากมีโอกาสได้มีเสี่ยวกับเขาสักคนล่ะก็ ชีวิตนั้นโชคดีหาอะไรเปรียบไม่ได้อีกแล้ว ปัจจุบันภาคอีสานหลายจังหวัดก็ยังคงมีพิธีผูกเสี่ยวอยู่ ฝรั่งเองก็ชอบมาผูกกัน แต่คิดว่าคงไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งเท่าไร
คำว่า "หื่น" ในภาษาไทยโบราณ แปลว่า ร่าเริง แต่ในปัจจุบัน "หื่น" แปลว่า มีความอยากอย่างแรงกล้า (มักใช้ในทางกามารมณ์)
คำว่า “ดัดจริต” สมัยโบราณ หมายถึง ดัดแปลงความประพฤติให้ดี แต่ปัจจุบันใช้ในความหมายว่าแสร้งทำกิริยาวาจาเกินควร
มั่ว สมัยโบราณหมายถึง สุมกัน รวมกัน แต่ในปัจจุบันใช้ในความหมายว่า มั่วสุมกันทำสิ่งที่ไม่ดี
เท่าที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ท่านผู้อ่านคงจะเห็นด้วยกับหัวข้อเรื่องที่ว่า “เวลาเปลี่ยนไป ความหมายเปลี่ยนแปลง” ซึ่งยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้ อย่างไรก็ตามภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้ใช้ภาษายอมรับความหมายที่เปลี่ยนแปลง และรับรู้ตรงกัน คำนั้นก็ใช้สื่อความหมายได้สมบูรณ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น