วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เวลาเปลี่ยนไป : ความหมายเปลี่ยนแปลง

                ท่านผู้อ่านคงพอจะเดาได้ว่า เรื่องที่ผู้เขียนกำลังจะเขียนต่อไปนี้ คงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาษาแน่ๆ  ต้องขออนุญาตนำคำพูดของพิธีกรชื่อดัง คุณปัญญา นิรันดร์กุล มาตอบว่า “ถูกต้องแล้วครับ”  กาลเวลาที่เปลี่ยนไป ทำให้ความหมายของคำเปลี่ยนแปลง  เราลองมาดูกันว่ามีคำหรือความใดเปลี่ยนไปอย่างไร
                 คำว่า “ไม้ป่าเดียวกัน”   เมื่อได้ยินคำนี้ผู้อ่านก็พอจะทราบได้ว่าเขาหมายถึงชายหรือหญิง  ที่นิยมในเพศเดียวกัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วในสมัยก่อน ความหมายของคำว่าไม้ป่าเดียวกันนั้นแตกต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง  ในสมัยก่อนเรามีตลาดน้ำที่ชาวสวนจะนำเอาผลผลิตจากสวน อันได้แก่ผลไม้ต่างๆ ใส่เรือมาขาย จะเห็นเรือขายของเบียดเสียดกันเต็มคลองไปหมด และก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง เวลาที่เรือกระทบกระทั่งกัน แดดก็ร้อน อารมณ์ก็เสีย เจ้าของเรือก็จะต่อว่าต่อขาน ด่าทอกันจนลั่นคลอง เพื่อนๆ แม่ค้าพ่อค้าลำใกล้เคียงต้องเข้ามาห้ามทัพ โดยบอกว่า เอ้าๆ อย่าทะเลาะกัน ไม้ป่าเดียวกันแท้ๆการพูดเช่นนั้นไม่ได้หมายความว่าเจ้าของเรือเขาชอบพอกัน แต่หมายถึง ตัวเรือต่างหาก เพราะเรือเหล่านั้นทำด้วยไม้  เป็นคำเปรียบเปรยว่าเรือลำไหนๆ ในคลองก็มาจาก ป่าไม้เหมือนๆ กันทั้งนั้นแล้วจะทะเลาะกันไปทำไม ในปัจจุบันถ้าพบใครทะเลาะกัน อย่าไปห้ามทัพด้วยประโยคนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวมีสะดุ้ง
                คำว่า "ลงแขก" ที่เดี๋ยวนี้หมายถึงการรุมโทรมผู้หญิง  เมื่อก่อนหมายถึงการที่ผู้คนทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันลงแรงทำงาน อาจจะไถนา หว่านข้าว ตกกล้า ดำนา เกี่ยวข้าว ฯลฯ เพราะว่าเมื่อก่อนไม่มีเครื่องจักร แล้วคนคนเดียวก็ทำงานทั้งหมดไม่ไหว ก็เลยต้องช่วยกัน โดยที่แต่ละบ้านก็จะมีเวลาปลูกและเก็บเกี่ยวไม่ตรงกันบ้านนี้ไปช่วยบ้านนั้น พอบ้านนั้นปลูกเสร็จก็ไปช่วยบ้านโน้น ไม่ต้องเสียค่าจ้าง
               คำว่า "เสี่ยว" ที่ปัจจุบันใช้ในความหมายว่เชยหลุดโลก หลังเขา แต่เมื่อก่อเมื่อคนสองคนที่เกิดเวลาตกฟากเดียวกั (ซึ่งถือว่าเป็นวิญญาณดวงเดียวกันมาเกิดในสองร่าง) ได้มาเจอกันโดยบังเอิ ไหนๆ ก็มาเจอกันแล้ว ไม่อยากพรากจากกันอีก ก็เลยมีประเพณ "ผูกเสี่ยว" เพื่อให้เป็นเสี่ยวกัซึ่งเสี่ยวในที่นี้หมายถึคนที่สนิทและไว้ใจกันมากที่สุดในโลประหนึ่งว่าเป็นคนคนเดียวกัและคู่เสี่ยวจะรักและให้เกียรติกันมากถึงขั้นยอมตายแทนกันไดว่ากันว่าเกิดมาครั้งหนึ่ง หากมีโอกาสได้มีเสี่ยวกับเขาสักคนล่ะกชีวิตนั้นโชคดีหาอะไรเปรียบไม่ได้อีกแล้ว ปัจจุบันภาคอีสานหลายจังหวัดก็ยังคงมีพิธีผูกเสี่ยวอยูฝรั่งเองก็ชอบมาผูกกัน แต่คิดว่าคงไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งเท่าไร
               คำว่า "หื่น" ในภาษาไทยโบราณ แปลว่า ร่าเริง แต่ในปัจจุบัน "หื่น" แปลว่า มีความอยากอย่างแรงกล้า (มักใช้ในทางกามารมณ์)
              คำว่า “ดัดจริต” สมัยโบราณ หมายถึง ดัดแปลงความประพฤติให้ดี แต่ปัจจุบันใช้ในความหมายว่าแสร้งทำกิริยาวาจาเกินควร
              มั่ว สมัยโบราณหมายถึง  สุมกัน รวมกัน   แต่ในปัจจุบันใช้ในความหมายว่า มั่วสุมกันทำสิ่งที่ไม่ดี
       เท่าที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ท่านผู้อ่านคงจะเห็นด้วยกับหัวข้อเรื่องที่ว่า “เวลาเปลี่ยนไป ความหมายเปลี่ยนแปลง” ซึ่งยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้  อย่างไรก็ตามภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ถ้าผู้ใช้ภาษายอมรับความหมายที่เปลี่ยนแปลง และรับรู้ตรงกัน คำนั้นก็ใช้สื่อความหมายได้สมบูรณ์




หนังสือดีที่น่าอ่าน

หลักชาวพุทธ



               
        ช่วงเทศกาลเข้าพรรษานี้ มีหนังสือดีที่น่าอ่านมาแนะนำค่ะ
ท่านที่ไม่มีเวลาไปทำบุญที่ไหน
เราสามารถเป็นชาวพุทธที่ดีได้ด้วยการอ่านหนังสือดีมีประโยชน์เล่มนี้ค่ะ
 "หลักชาวพุทธ" ของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) 
 กล่าวถึงหลักปฏิบัติ 3 หมวด 12 ข้อ ที่ชาวพุทธแท้ควรปฏิบัติได้
สามารถดาวน์โหลดไฟล์ได้ฟรีค่ะ

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การเรียนรู้ของครูสุนันท์

                วันที่ 8-9 กรกฎาคม 2554  ได้มีโอกาสเข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการใช้ Social Media ในการจัดการเรียนรู้  จัดโดยศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ร่วมกับศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาภาคเหนือ จังหวัดพิษณุโลก โดยทีมวิทยากรคุณภาพ ที่ให้ความรู้อย่างเป็นกันเอง จัดให้แบบเต็ม ๆ ทุกกลเม็ด ผู้เข้าอบรมทุกคนสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ ขอขอบคุณอย่างสูงค่ะ 
                 
                                                   มีภาพบรรยากาศการอบรมมาฝากค่ะ

ฟังไป จดไป กันลืมค่ะ

ถ่ายรูปกับครูเก๋คนสวย ฉายา เจ้าแม่ facebook (ครูแชมป์บอกนะคะ)

ฟังอย่างตั้งใจ

ครูแชมป์ให้คำแนะนำอย่างดียิ่ง ขอบคุณครูแชมป์ค่ะ
 
ต่างแนะนำช่วยเหลือกันอย่างกัลยาณมิตร
 (ภาพจากบันทึกของครูบ้านนอก ของครูแชมป์)

อาหารกลางวัน วันที่สอง หลนเต้าเจี้ยว ปลาสลิด อร่อยมาก ๆ
ขอบคุณครูกุลธิดา และคณะ ค่ะ


รับของที่ระลึกจากการประกวด blog
(เอ้า! ปรบมือหน่อย)









  




คำทับศัพท์กับวรรณยุกต์


................ปัจจุบันไทยเรารับเอาคำภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ บางคำเราบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้แทน แต่บางคำเราไม่สามารถบัญญัติศัพท์ได้ตรงความหมายครบถ้วน หรือบัญญัติแล้วแต่คนทั่วไปไม่รับหรือไม่เป็นที่นิยม เราก็ใช้ "ทับศัพท์" เป็นภาษานั้นๆลงไป เราจึงมี คำทับศัพท์ใช้ในภาษาไทยเป็นจำนวนมาก และมักจะอ่านและเขียนผิดบ่อยๆ หลักเกณฑ์การเขียน คำทับศัพท์มีรายละเอียดค่อนข้างมาก วันนี้จะเขียนถึงเฉพาะคำทับศัพท์กับวรรณยุกต์ตามที่ได้ตั้งชื่อเรื่องไว้
...............ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจก่อนว่า ธรรมชาติของภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ไม่มีวรรณยุกต์กำกับ และจะออกเสียงสูงต่ำอย่างไรความหมายของคำก็มิได้เปลี่ยนไป เช่น จะออกเสียงว่า บอย หรือ บ๋อย ก็ยังคงมีความหมายเท่ากับคำว่า boy ถ้าใช้วรรณยุกต์กำกับก็เท่ากับกำหนดเสียงอ่านตายตัว และเป็นการยากที่จะกำหนดได้แน่ชัดลงไปว่าคำนั้นๆ เป็นเสียงใด คำภาษาอังกฤษแต่ละคำไม่ได้มีระดับเสียงประจำคำอย่างภาษาไทย ราชบัณฑิตยสถานจึงกำหนดว่าคำที่มาจากภาษาอังกฤษ เมื่อจะเขียน ทับศัพท์เป็นภาษาไทย จะไม่ใส่วรรณยุกต์กำกับ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า คำในภาษาอังกฤษเป็นคำที่มี ทำนองเสียง (intonation) ดังกล่าวแล้ว คำๆ เดียวกันเมื่ออยู่ในประโยคต่างกันก็อาจออกสำเนียงหรือทำนองเสียงได้ต่างกัน ดังนั้น เพื่อลดความสับสน รวมทั้งเพื่อไม่ให้คำทับศัพท์ดูรกรุงรังจึงไม่ใส่วรรณยุกต์กำกับ แต่เวลาอ่านคำทับศัพท์ให้อ่านออกเสียงวรรณยุกต์ให้ใกล้เคียงกับสำเนียงศัพท์เดิมตามสมควร และมีข้อยกเว้นโดยอนุโลมให้คำทับศัพท์ใช้วรรณยุกต์กำกับได้ถ้าคำนั้นๆ เขียนโดยมีรูปวรรณยุกต์กำกับมาแต่เดิม นานจนติดอยู่ในภาษาแล้ว (พจนานุกรมเก็บคำไว้แล้ว) อย่างคำว่า โน้ต เชิ้ต บรั่นดี ก๊อก ปั๊ม ก๊าส เค้ก เป็นต้น ก็ให้คงใช้อย่างนั้น กับคำอีกพวกหนึ่งซึ่งถ้าไม่เขียนวรรณยุกต์กำกับ รูปคำจะซ้ำกับคำอื่นในภาษาไทย ซึ่งอาจทำให้เข้าใจความหมายผิดพลาดคลาดเคลื่อนหรือเสียความ ไปได้ อย่างคำโฆษณาน้ำอัดลม Coke ให้เขียนเป็น โค้ก "ส่งโค้กส่งยิ้ม ไม่ให้เขียนเป็น โคก ซึ่งจะเป็น "ส่งโคกส่งยิ้ม” กันมิให้มีผู้แปลเป็นอื่น หรือคำว่า coma (ภาวะหมดสติขั้นรุนแรง เกิดจากโรค จากการบาดเจ็บ หรือจากยาพิษ) ก็ให้เขียนเป็น"โคม่า" ไม่ใช่ "โคมา" อันอาจทำให้หมายถึง"วัวมา"ได้ แต่ quota เขียน "โควตา" ไม่เขียน "โควต้า" เพราะ “โคว”ไม่มีความหมายในภาษาไทย จึงไม่ต้องห่วงผู้อ่านจะ
คิดว่าเป็นคำไทยแล้วออกเสียงอย่างคำไทย
.....................ถึงตรงนี้ ท่านที่เคยสงสัยเกี่ยวกับการใช้วรรณยุกต์ในคำทับศัพท์คงจะคลายความสงสัยและสามารถอ่านและเขียนคำทับศัพท์ได้อย่างมั่นใจแล้วนะคะ


ทดลองใส่ VDO

ครูภาษาไทยกับไอที

                                                                  

                                             การใช้ Social Media ในการจัดการเรียนรู้