วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เลือกสรรคำ "เขียนคำขวัญ" ทำ "ที่คั่นหนังสือ"

ปัจจุบันมีผู้นิยมใช้คำขวัญเชิญชวน โน้มน้าวใจผู้ฟัง ผู้อ่าน ให้ตระหนัก และคล้อยตาม             หน่วยงานราชการ องค์กรต่าง ๆ  จัดประกวดคำขวัญทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพื่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป การเขียนคำขวัญเป็นงานเขียนที่ต้องใช้ความสามารถในแง่ของการใช้ถ้อยคำที่กระชับรัดกุม มีความหมายเด่น แปลก และต้องคล้องจองเพื่อให้จดจำได้ง่าย    การเขียนคำขวัญเนื่องในโอกาสใดโอกาสหนึ่ง ผู้เขียนต้องแสดงความคิดเห็นที่เด่นชัดในเรื่องนั้นขึ้นมา เลือกคำที่มีน้ำหนัก  มีความหมายกระชับ นำมาผูกเป็นประโยคสั้น ๆ และให้มีคำสัมผัสคล้องจอง  ก็จะได้คำขวัญ ที่น่าสนใจ ตรงจุดมุ่งหมาย

ความหมาย
คำขวัญ คือ คำพูดที่กล่าวให้เป็นข้อคิดหรือแนวทางปฏิบัติเนื่องในกรณีใดกรณีหนึ่งหรือโอกาสใดโอกาสหนึ่ง เป็นข้อเตือน ให้ระลึกถึงหน้าที่การงานและความประพฤติต่าง ๆ

การใช้ภาษาในการเขียนคำขวัญ
การเขียนคำขวัญให้น่าสนใจ ควรคำนึงในประเด็นต่อไปนี้
1. ใช้ถ้อยคำสั้น กะทัดรัด มีความหมายลึกซึ้ง ใช้คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป  แต่ไม่ควรเกิน 16 คำ                  แบ่งเป็นวรรคได้ตั้งแต่ 1 - 4 วรรค เช่น
ทุกข์ที่ไหน กาชาดไปที่นั่น
ห้องสมุด ดุจขุมคลัง แห่งปัญญา
มารยาทงาม น้ำใจดี  ทุกชีวี จะปลอดภัย
อากาศเป็นพิษ ชีวิตจะสั้น  ต้นไม้เท่านั้น ทั้งกันและแก้
2. เขียนให้ตรงจุดมุ่งหมาย แสดงความคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเด่นชัด
หรือมีใจความสำคัญเพียงอย่างเดียว เพื่อให้จำง่าย เช่น
แสดงพลังประชาธิปไตย ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
หลายชีวิต รอโลหิตจากท่าน
ขับรถถูกกฎ ช่วยลดอุบัติเหตุ
ทิ้งขยะไม่เลือกที่ หมดราศีไปทั้งเมือง
ครูคือพลังสร้างแผ่นดิน ไทยทุกถิ่นน้อมบูชาพระคุณครู
น้ำมีคุณค่ามหาศาล อย่าล้างผลาญโดยไม่จำเป็น
จับจ่ายรู้ค่า ถึงเวลาจ่ายคืน
3. จัดแบ่งจังหวะคำสม่ำเสมอ เช่น
ยอมลำบากเมื่อหนุ่ม ดีกว่ากลุ้มเมื่อแก่
ประเทศเป็นบ้าน ทหารเป็นรั้ว
ยามศึกเรารบ ยามสงบเราพัฒนา
กตัญญูระลึกอยู่ในจิต สุจริตระลึกอยู่ในใจ
4. เล่นคำทั้งเสียง และสัมผัสและการซ้ำคำ ช่วยให้จำง่าย เช่น
เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ
ยามศึกเรารบ ยามสงบเราเตรียมพร้อม
ขับเร็วชิดขวา ขับช้าชิดซ้าย
สะอาดกายเจริญวัย สะอาดใจเจริญสุข
5. เป็นคำตักเตือนให้ปฏิบัติในทางที่ดี เช่น
เลือกคนดีเข้าสภา เพื่อพัฒนาท้องถิ่น
เลือกตั้งเป็นหน้าที่ เลือกคนดีมาปกครอง
ทำดีให้คนเกรง ดีกว่าเป็นนักเลงให้คนกลัว
จงขยันหมั่นอ่านเขียน จงพากเพียรเถิดพวกเรา
เจ็บป่วยอย่าซื้อยา ไปรักษากับคุณหมอ
เมืองไทยจะรุ่งเรือง พลเมืองต้องมีวินัย

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทละครพูดเรื่องเห็นแก่ลูก

ผู้แต่ง : พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้นามแฝงว่าพระขรรค์เพชร พระองค์ทรงผูกเรื่อง
               และทรงเรียบเรียงเอง

รูปแบบ : เรื่องเห็นแก่ลูก   แต่งเป็นบทละครพูด เป็นเรื่องขนาดสั้น มี 1 องก์

ลักษณะการแต่ง
            รัชกาลที่ 6 ทรงผูกเรื่องอย่างรัดกุมและดำเนินเรื่องโดยใช้บทสนทนาของตัวละครโต้ตอบกัน ทำให้ทราบเรื่องราวที่ดำเนินไป และทราบเบื้องหลังของตัวละครแต่ละตัว นอกจากนี้ ยังทรงบรรยายกริยาท่าทางของตัวละครแต่ละตัวไว้ในวงเล็บ เพื่อช่วยให้นักแสดง แสดงตามบทได้สะดวกและสมบทบาทยิ่งขึ้น ภาษาที่ใช้ในบทละครนี้ ใช้คำพูดง่ายๆแต่ให้ความหมายคมคายลึกซึ้ง แม้ว่าบางคำที่มีใช้ในอดีตสมัย 80-90ปีก่อนแต่ไม่มีใช้ในปัจจุบัน ผู้อ่านก็ยังพอเดาความหมายได้

พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
            พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรี พัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2423 เมื่อ พระชนมายุ 8 พรรษา ทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรม ขุนเทพทวาราวดี และต่อมาทรงได้รับสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร แทนสมเด็จพระบรมเชษฐา เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งสวรรคต และได้เสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ.2453 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นนักปราชญ์ (ทรงได้รับการถวายพระ ราชสมัญญาว่า สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า) และทรงเป็นจินตกวีที่ทรงเชี่ยวชาญทาง ด้านอักษรศาสตร์โบราณคดี มีพระราชนิพนธ์ร้อยแก้วร้อยกรองทั้งภาษาไทยและอังกฤษ มากกว่า 200 เรื่อง ทรงใช้นามแฝงต่างๆกัน เช่น อัศวพาหุ รามจิตติ ศรีอยุธยา พันแหลม นายแก้วนายขวัญ ฯลฯ พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา

เรื่องย่อ
            นายล้ำมาที่บ้านพระยาภักดีนฤนาถ มีอ้ายคำซึ่งเป็นคนรับใช้ของพระยาภักดีให้การต้อนรับ และนั่งคอยดูอยู่ห่างๆเนื่องจากไม่ไว้ใจเพราะเห็นสภาพของนายล้ำที่แต่งตัวปอนๆ ท่าทางดื่มเหล้าจัดจนเมื่อพระยาภักดีกลับมาบ้านได้พบนายล้ำจึงทำให้ทราบเรื่องราวของคนทั้งสอง จากการสนทนาโต้ตอบกันว่า เดิมนายล้ำเป็นเพื่อนกับพระยาภักดี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นหลวงกำธร ส่วน นายล้ำเป็นทิพเดชะ นายล้ำมีภรรยา คือแม่นวล มีลูกสาวคือ แม่ลออ เมื่อแม่ลออมีอายุ 2 ขวบ เศษ นายล้ำก็ถูกจำคุกเพราะทุจริตต่อหน้าที่ แม่นวลเลี้ยงดูลูกสาวมาตามลำพัง ก่อนตายจึงยก ลูกสาวให้เป็นลูกบุญธรรมของพระยาภักดี นายล้ำจำคุกอยู่ 10 ปี ก็ออกจากคุกไปร่วมค้าฝิ่นอยู่ กับจีนกิมจีนเง็ก ที่พิษณุโลก พอถูกตำรวจจับได้ก็แก้ข้อกล่าวหาเอาตัวรอดฝ่ายเดียว ต่อมาก็ ตกอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว จึงตั้งใจจะมาอยู่กับแม่ลออ ซึ่งมีอายุ 17 ปี กำลังจะแต่งงาน กับนายทองคำ แต่พระยาภักดีพยายามชี้แจงให้นายล้ำเห็นแก่ลูกสาวไม่ต้องการให้ถูกคนอื่น รังเกียจว่ามีพ่อเป็นคนขี้คุกและฉ้อโกง จนในที่สุดเสนอเงินให้ 100 ชั่ง แต่นายล้ำก็ไม่ยอมเมื่อ แม่ลออกลับมาถึง นายล้ำจึงได้รู้จักกับแม่ลออและได้เห็นประจักษ์ว่าตนเลวเกินกว่าจะเป็นพ่อ ของแม่ลออ ซึ่งหล่อนได้วาดภาพพ่อไว้ในใจว่า พ่อเป็นคนดีที่หาที่ติไม่ได้เลย